ข้อความข้างต้นฟังดูแล้วอาจแทงใจดำ แต่นี่คือความจริงที่คนไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ (และไม่มีใครกล้าที่จะออกมาบอก)
หัวข้อนี้ผมได้มาจากการไปฟังเสวนา “Very Thai: Cultural Filter” โดย Philip Cornwel-Smith ผู้เขียน “Very Thai” หนังสือที่ว่าด้วยวัฒนธรรม “แบบไทยๆ” ที่เราเองก็ไม่เคยสงสัย หาความหมาย หรือ ตั้งคำถามกับพวกมันมาก่อน เช่น การเอาทิชชู่สีชมพูมาห่อช้อนส้อม หรือ ทำไมไฮโซต้องตีกระบัง
จากความรู้ที่ได้รับตลอดเกือบสองชั่วโมงจากหนึ่งในคนที่มองสังคมไทยแบบถึงกึ๋นที่สุด
ประโยคที่ผมฟังแล้วถึงกับต้องหยิบสมุดมาจดในทันที (และเป็นที่มาของ blog นี้) คือ
Foreign Designers of ‘Thai Style’ were more Freedom
นักออกแบบชาวต่างชาติมีอิสระมากกว่า (คนไทย) ในการเล่นกับ ‘ความเป็นไทย’
และ ตัวอย่างที่เขายกมาก็ล้วนแต่คนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยทั้งสิ้น เช่น
จิม ทอมป์สัน เจ้าพ่อแห่งไหมไทย หรือ จิโร เอนโดะ ศิลปินเลือดปลาดิบที่กำลังมาแรง เป็นต้น
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้
เพราะเขาเป็นคนต่างชาติ? เพราะเขารู้จักคนมากกว่า? เพราะเขาดังอยู่แล้ว? ฯลฯ
จริงๆ แล้ว คำตอบที่เราค้นหาอยู่ในสไลด์แผ่นที่อยู่ก่อนหน้านี้
Deconstruct = Discrete?
การล้มแนวคิดเดิมแล้วสร้างใหม่ = การลบหลู่?
และตัวอย่างที่เขายกมาก็ล้วนแต่เป็น “ความเป็นไทยแท้” ที่ทำให้ไอเดีย แนวคิด หรือผลงานบางอย่างในไทยไม่อาจเกิดได้ (หรือตายไปด้วยความน่าเสียดาย)
ทีนี้เราลองมาดูกันทีละหัวข้อกัน
1. ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ – ไม่เชื่อไม่ว่าแต่อย่ามายุ่ง
ผี / ขอหวย / ไสยศาสตร์ / น้ำมนต์ / เกจิ / GT200 / ฯลฯ
คนที่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ ต่างก็เชื่ออย่างสุดใจ และพร้อมเป็นกำแพงที่คอยกั้นคนที่อยากจะเข้าไปพิสูจน์อย่างสุดชีวิต
ทั้งๆ ที่ทำในความเป็นจริง (และที่ทำกันอยู่ทั่วโลก) คือการ “ไม่เชื่อต้องลบหลู่”
เพื่อที่จะได้เห็นกันชัดๆ ว่า แนวคิดที่มีอยู่แต่เดิมนี้มีข้อบกพร่องตรงไหน หรือ สามารถนำมาต่อยอด ตีความใหม่ หรือ แตกย่อยออกมาเพิ่มเติมตรงไหนได้บ้าง
2. ไม่มีการกระตุ้นให้ตั้งคำถาม (โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในขั้นเหนือกว่า)
ลองนึกภาพว่า ถ้ามีเด็กไทยคนหนึ่งยกมือถามครูในวิชาสังคมว่า
“ไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร แล้วที่ไทยแพ้พม่านี่นับไหมครับ?”
แล้วห้องเรียนจะเป็นอย่างไร (และ ชะตากรรมของเด็กคนนี้จะเป็นแบบไหน)
ผมคิดว่าคำถามที่สร้างสรรค์มีคุณค่ามากกว่าคำตอบตามตำราอยู่หลายเท่านัก
เพราะการตั้งคำถามที่ดีจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้ถาม และ ผู้ถูกถาม อย่างเอนกอนันต์
แต่บรรยากาศเหล่านี้กลับถูกปิดกั้นด้วยแนวคิดแปลกๆ ทำนองว่า จะรู้ไปทำไม / น่ารำคาญ / เด็กอวดฉลาด / ปีนเกลียว และอื่นๆ อีกมากมายจากคนที่อยู่ในระดับสูงกว่า
ระบบแบบนี้ทำให้เด็กไทยเริ่มขี้เกียจที่จะถาม ขี้เกียจที่จะกล้าคิดแหวกแนว
เพราะไม่อยากแส่หาเรื่องให้เป็นที่เหม็นขี้หน้าของอาจารย์ (และผู้รู้ในแขนงอื่นๆ ) เสียเปล่าๆ
และแน่นอนว่า ไอเดียดีๆ ก็อาจจะตายไปพร้อมกับใจอันห่อเหี่ยวของคนๆ นั้น
3. ความอาวุโสเป็นใหญ่เหนือกว่าความสวยงามและวิธีการ
รู้จัก พิเชษฐ กลั่นชื่น ไหมครับ?
ในสายตาชาวโลก เขาคือศิลปิน นักเต้นโขนที่คนทั่วโลกปรบมือชื่นชม
ในสายตาของกรมศิลปากรและคนโขนของไทย เขาคือคนทำลายศิลปะโขน และ ไม่มีใครยอมรับเป็นพวก
เพราะ พิเชษฐนำโขนที่ถือว่าเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยมาแยกส่วนและตีความใหม่
เช่น การแสดงโขนขาวดำ หรือ การแสดงโขนที่ตัดทอนความสวยงามของชุดเพื่อเน้นที่ท่วงท่าการรำโดยการสวมแค่หัวโขน และ กางเกงใน!
พิเชษฐ เป็นหนึ่งในคนที่ Philips ยกตัวอย่างในการเสวนาครั้งนี้
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในแวดวงศิลปะ (และอีกหลากหลายวงการ) ของบ้านเรา คือ
‘ความงดงามหรือคุณค่าในชิ้นงาน คือ สิ่งที่ศิลปินอาวุโสเห็นชอบแล้วว่าดี’
แทนที่เราจะอนุรักษ์วัฒนธรรมโดยการนำลงมาต่อยอดและให้ทุกคนเข้าถึง
แต่เรากลับเลือกการนำมันไปเก็บไว้บนหิ้ง เพราะแปะป้ายว่า “ห้ามจับโดยเด็ดขาด”
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่หลายๆ คนจึงเลือกช่องทางเผยแพร่ผลงานของตัวเองโดย “การส่งไปเมืองนอก” เป็นตัวเลือกแรก เพราะมั่นใจว่า ถ้าโลกยอมรับ คนในประเทศไทยถึงจะยอมรับ (แม้ว่าตอนแรกจะด่าซะสาดเสียเทเสียก็ตาม)
4. ‘เรื่องบางเรื่อง’ คนธรรมดาห้ามแตะ
เคยเห็นภาพนี้ไหมครับ
“ภิกษุสันดานกา” ภาพนี้เคยเป็นข่าวโด่งดัง มีพระสงฆ์หลายรูปออกมาต่อต้านให้นำภาพนี้ออกจากการแสดงโชว์ เพราะ ทำให้หมิ่นศาสนาพุทธ ดูหมิ่นสถาบันสงฆ์ เป็นการบอกว่าพระสงฆ์มีพฤติกรรมลุ่มหลงในไสยศาสตร์ดั่งพฤติกรรมของพระในภาพ
ทั้งๆ ที่ภาพนี้ชนะเลิศอันดับ 1 เหรียญทองประเภทจิตรกรรม จากการประกวดผลงานศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 53 ประจำปี 2550 และ ที่มาของภาพนี้ก็ยกมาจากในพระไตรปิฎกเองด้วยซ้ำ!
บ้านเรายกเรื่องศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่ห้ามแตะต้อง
ถ้าใครเข้าไปวิพากย์วิจารณ์(แม้ว่าจะเป็นเจตนาดี) ก็จะโดนตราหน้าว่าเป็นคนชั่ว คนบาป คนไร้ศาสนาโดยทันที
ทั้งๆ ที่เราต่างก็เห็นกันอยู่ตำตาว่าตอนนี้หนึ่งในสถาบันของประเทศเรานั้นเละตุ้มเป๊ะกันมากขนาดไหน
‘ข้อห้าม’ ประมาณนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ๆ ในประเทศนี้เช่นกัน
(ตัวอย่างที่น่าสนใจในหัวข้อนี้ที่ Philips ยกมา คือ
การเปรียบเทียบระหว่าง พระพุทธรูปบนชุดว่ายน้ำของฝรั่ง กับ หุ่นฮิตเลอร์ในร้านขายเสื้อยืดของไทย – เรื่องบางอย่างที่เราเห็นว่าธรรมดา อาจจะเป็นเรื่องที่เซ็นสิทีฟกับอีกคนหนึ่ง)
พอฟังสไลด์หน้านี้จบ ผมก็ได้แต่ขำแห้งๆ ในใจ
เพราะผมเอง เป็นคนไทยที่มานั่งฟังฝรั่งมาอธิบายเรื่องวัฒนธรรมไทยๆ
โดยไม่โดนคนรอบข้างถากถางว่า “จะอยากรู้ไปทำไม” หรือ “มึงบ้าหรือเปล่า” หรือ “ลบหลู่ความเชื่อทำไม”
เพราะว่าเขาไม่ได้ติดอยู่ในบ่วงสี่ข้อที่กล่าวมาข้างต้น
เพราะว่าเขาเป็น นักออกแบบชาวต่างชาติที่มีอิสระมากกว่า (คนไทย) ในการเล่นกับ ‘ความเป็นไทย’
Reblogged this on Pornjed's Blog.
“วิถีแบบไทยๆ” ความจริงแลัวดีครับ แต่คนที่นำไปใช้กลับเป็นคนใจแคบมากกว่า ไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ผมเองก็รักความเป็นไทยๆ แต่คนหลายจำพวกกลับชอบทำตัว เทยๆ วิถีแบบไทย ความจริงแล้วคือ ความเคารพในสิ่งที่เราเป็นนั้นเอง…!
ยอมรับ..
การไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ถือว่าเป็นจุดแข็ง แต่ก็ควรจะเปิดโอกาศให้คนไทยบางกลุ่มได้พัฒนาอะไรบ้าง ในรูปแบบสากล ผมว่าการเคารพสิทธินี้แหละ ที่ต้องปรับปรุง
Reblogged this on Kaebmoo's Blog and commented:
หรือเราจะตีบตัน อยู่กันแค่นี้
ก็เพราะแบบนี้แหละเขาถึงเรียกว่าคนไทย
Reblogged this on Blog of anything – Anything I can post ^_^ and commented:
วิถีไทย ที่ไทยจนไม่ไปไหนกันเสียที (จะให้แก้ปัญหาได้ คนไทยต้องรับรู้ปัญหาเองให้ได้ซะก่อน…ซึ่งก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ !?)
Reblogged this on highlizard and commented:
ก็จริงอยู่นะผมว่า
ในความคิดของผมแล้ว แนวคิดหรือความเชื่อใดๆจะมีวัฏจักรคือจุดเริ่มจุดรุ่งเรือง ซึ่งเป็นช่วงที่แนวคิดจะเป็นประโยชน์เป็นสิ่งที่ดีกับคนส่วนมาก และจุดดับ ซึ่งจะมาจากการค่อยๆบิดเบี้ยวไปสู่สิ่งไม่ดี หลักการที่ดีมาก่อนก็จะกลายไปเป็นความขัดแย้งกับกาลเวลาและสิ่งใหม่ๆ เพราะไม่สามารถตอบสนองปัญหาใหม่ๆได้แล้ว และเริ่มสร้างปัญหาเสียเอง ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะนำมาซึ่งการต่อต้านและการล้มล้างโดยแนวคิดใหม่ในที่สุด
ถ้าชาวไทยไม่ใช่อารยธรรมเดียวที่เกิดมาจากแนวคิดที่ปิด ถามว่าทำไมไทยยังไม่เปลี่ยนไปเสียที ผมเห็นว่าเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีความสามารถหรือความตั้งใจในการล้มแนวคิดเก่าเสียส่วนใหญ่ อาจจะเนื่องมาจากการที่ไม่เคยบกพร่องในผลประโยชน์ ถ้าฟังผู้ใหญ่ก็ได้เลื่อนขั้น ถ้าไม่แย้งอาจารย์ก็ได้คะแนนจิตพิสัย ถ้าทำตามๆเขาไปก็จะไม่เดือดร้อน เป็นต้น โดยสรุปแล้ว ผมคิดว่าความรับผิดชอบในเรื่องนี้ตกอยู่กับคนรุ่นใหม่ทุกคนที่จะใช้แนวคิดที่เหมาะสมกับปัจจุบัน และเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางสร้างสรรค์ ถ้าทุกคนปล่อยมันผ่านไปไม่ว่าจะเพราะอะไร มันก็เข้าอีหรอบเดิมแบบนี้แล
“Insanity: doing the same thing over and over again and expecting different results.” -Albert Einstein
^ ใครเล่น Farcry 3 จะคุ้นเคยดีครับ 555+
Reblogged this on Stay Hungry, Stay Foolish…Stay with My Passion and commented:
แทงใจจนพูดไม่ออก รู้สึกกับมันมานานกับสังคมสมัยนี้ แต่ก็เพิ่งมีคนกล้ามาแจกแจงเป็นข้อๆนี่แหละ แถมไม่ใช่คนไทยซะด้วยยย
Reblogged this on randneazt's Blog.
เป็นความจริงที่ควรเรียนรู้และยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปแต่เข้าใจความควร ว่าควรกล้าแสดงออกเช่นไรให้งดงาม..ณัฏฐา
ประเทศไทยเราถูกครอบด้วยกะลาแก้วครับ เราไม่เคยเป็น ไท ทางความคิดโดยเฉพาะการพูดและโดยเฉพาะอย่างยิ่งยวด “การตั้งคำถาม” จะมีข้อยกเว้นสำหรับบางเรื่องเสมอ
Reblogged this on จดไว้อ่านทีหลัง.
ถ้าผู้รับผิดชอบระบบการศึกษาของไทยยังคิดไม่ออกว่า จะสร้างครูที่สามารถสอนให้เด็กรู้จักคิดมากกว่าการสอนให้จำ เช่นมี่ทำอยู่ ระบบการทดสอบ และ การวัดผลเพื่อการศึกษาขั้นสูงขึ้นที่เน้นเพียงแค่ความรู้-ความจำอย่างที่เป็นอยู่ ก็น่าสงสารอนาคตประเทศไทยว่าจะเป็นอย่างไร .เมื่อเราสร้างทรัพยากรมนุษย์ได้เพียงแค่นี้เท่านั้น
ป้าย “ห้ามจับโยเด็ดขาด” มิได้หมายความว่า จะต่อยอดไม่ได้ การต่อยอดทำได้หลายวิธี หากมีความคิดที่จะต่อยอด.
ป้าย “ห้ามจับโดยเด็ดขาด” มิได้หมายความว่า จะต่อยอดไม่ได้ การต่อยอดทำได้หลายวิธี หากมีความคิดที่จะต่อยอด.
“ไม่เชื่อต้องลบลู่” ใช่เลยประโยคนี้
บางครั้งเราก็แค่ตั้งคำถามให้เกิดความคิด แต่ก็โดนตอกกลับมา
ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน
ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา
มันไม่มีถูกหรือผิด การยัดเยียดแนวความคิดก็ไม่ต่างอะไรกับยึดติดด้วยเช่นกัน
Reblogged this on nattster.
เปิดรับสิ่งใหม่เป็นสิ่งดี แต่ก็ไม่ควรเหยียบย่ำสิ่งเก่า
ผมเห็นด้วย
ถ้าสิ่งเก่าเป็นสิ่งไม่ดี ไม่สามารถตอบคำถามถึงที่มาที่ไปอันสมเหตุสมผลได้ บ่อนทำลายความเจริญและสร้างกระบวณทัศน์แย่ๆให้กับสังคม สิ่งเก่านั้นสมควรถูกเลิกไปไหม?
เรื่องศาสนาคุณจะบอกว่าสาสนาพุทธงมงาย แล้วคุณได้เคยอ่านคำสอนของสาสนานั้นรึยัง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เชื่อหรืองมงายเรื่องไสยาสตคนต่างหากล่ะที่อาสัยกินกับศาสนา ถ้าคุณจะจะบอกว่าประเทศไม่พัฒนาเพราะศาสนาพุทธแล้วละก้คุณคิดผิดแล้ว การศึกษาไทยต่างหากล่ะที่ทำให้ชาติไม่พัฒนา ไอสไตน์เขายังยกย่องพุทธศาสนาเลย คุณมองแค่เปลือกนิ
ความเข้าใจผิดของชาวพุทธ
คนไทยโดนฝรั่งสอนเรื่องความเป็นไทย
So irony.
Reblogged this on Futurizing.
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (ประมาณ 8 ปี) เหล่าผู้ใหญ่เคยเชื่อว่า ราคาทองมีแต่ขึ้น ไม่มีตก… ทุกวันนี้ชัดเจนแล้วว่า มันไม่จริง
นี่เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ถูกทุกอย่าง ถึงว่าคิดใหม่คิดเองทำเองซักทีดีมั้ย?
Once upon the time (about 8 years ago), our parents’ generations believed that gold prices would continue to go up without decline. Apparently, history has confirmed that such belief was wrong. Don’t you think now is a good time to start thinking by ourselves from different perspectives, relying less on plain beliefs of older generation, and doing things differently in this changing world?