“7 อันดับสุดเลิฟของฉันในประเทศญี่ปุ่น” !! – อันดับ 3: มิวเซียม ตึกดูดตัง!

หลังจากเจอมรสุมงานพัดผ่านเข้ามาอย่างหนักหน่วง ในที่สุดก็ได้กลับมาเขียนต่ออีกรอบแล้ว ;___;)/

ในฐานะที่เป็นคนชอบเดินพิพิธภัณฑ์มาแต่ไหนแต่ไร เวลาไปบ้านเมืองไหน ก็ชอบที่จะเข้าไปเดินเล่น เรียนรู้เรื่องราวของบ้านเขา
และพอมาที่ญี่ปุ่นนี่ ไม่มีผิดหวังเลยครับ มีให้เลือกเดินเยอะ ถึง เยอะมาก….
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงใช้หลัก “เจอปุ๊บ ต้องโดนปั๊บ” ต้องเข้าไปโดนสักหน่อย
ตอนไปก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ แต่พอกลับมาแล้ว นั่งนึกไปนึกมา ก็บรรลุได้ว่า…
ถ้านับรวมปราสาท วัด บลาๆๆ เข้าไปด้วย ฉันเสียเงินให้กับสิ่งนี้เยอะมาก! (แถมที่พีคคือ มีหลายอันที่หาไม่เจอเลยยังไม่ได้เข้าอีก)
เลยอยากจะชวนทุกคนมาร่วมเสียตังไปด้วยกันกับ blog นี้ฮะ

อันดับ 3: มิวเซียม ตึกดูดตัง!  

 

ในที่นี้จะขอพูดถึงแค่ “มิวเซียม” หรือพิพิธภัณฑ์ละกันนะครับ
วัดวาอารามปราสาทอะไรนั่น ขอผ่านละกัน
มาดูกันว่า ในแต่ละมิวเซียมที่ได้ไปสัมผัสมานั้น ผมชอบที่ตรงไหน!

 

พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ MIRAIKAN
อ่าน ที่นี่ เลยครับ เขียนไว้แล้ว (เอาน่ะ ความขี้เกียจชนะทุกอย่าง)

 

The National Museum of Western Art 

 

เป็นมิวเซียมที่รวบรวมงานศิลปะจากฝั่งตะวันตก โดยมีงานของศิลปินดังๆ ที่เราเคยเห็นในหนังสือเรียนอย่าง โมเน่ต์ หรือ โรแดง งี้
เมื่อจ่ายเงิน ซื้อตั๋ว เดินเข้าไปชมงาน ผ่านประตูเข้าไปก็เหมือนกับโดนกดปุ่ม mute ใส่ปากโดยอัติโนมัติ
เพราะภายในนั้นมันเงียบมากๆ เงียบระดับถ้าหายใจดังก็รู้สึกผิดทันที แถมเกร็งได้ที่ เพราะมีพี่ๆ เจ้าหน้าที่ยืนคุมทุกมุมห้อง
และ แน่เป็นแช่แป้งว่า ที่นี่ห้ามถ่ายภาพ
ดังนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยขณะดูงานศิลปะชิ้นยักษ์ คือ น้องๆ มัธยมที่แวะเวียนเข้ามาดูภาพ (เข้าใจว่าคงเอาไปทำรายงานนี่แหล่ะ) (น่ารักมากครับคุณ ราวกับหลุดมาจากการ์ตูน) (เอ่อ… เข้าเรื่องก็ได้ครับ)

สมัยเรียน ผมต้องเรียนวิชา Art Appretiation  หรือ สุนทรียะในงานศิลปะ
แน่นอนว่า ผมไม่เคยเข้าเลยครับ (ฮา) แต่การที่ต้องนั่งจำภาพก่อนไปสอบเนี่ย เลยทำให้พอคุ้นๆ กับบางภาพในนี้บ้าง
ของจริงที่เห็นฝีแปรง เห็นรอยสะบัดเพนท์ ดูแล้วทรงพลังกว่า ภาพง่อยๆ ซีรอกซ์ขาวดำที่เคยดูสักล้านเท่าได้

ในนั้นจะมีท้ังนิทรรศการถาวร และ นิทรรศการหมุนเวียน ตอนผมไป อันหมุนเวียนคือ
Picasso’s Animals: From an Illustrated Book Based on Buffon’s Natural History

ภาพลายเส้นของลุงปิกัสโซ่นี่สุดมาก ;___;

 

Tokyo National Meseum

 

ถ้าเทียบง่ายๆ ที่นี่ก็เหมือนกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเราครับ
แต่ขอพูดอย่างไม่กลัวโดนหาว่าไม่รักชาติเลยนะครับว่า “ที่นี่ดีกว่าสักล้านเท่าได้”

ทุกอย่างมีการจัดวางมาเป็นอย่างดี แบ่งหมวดหมู่ชัดเจน เช่น งานปั้น งานเขียน อาวุธ ชุดเกราะ พระพุทธรูปฯลฯ
เรียกได้ว่าอะไรที่เรานึกออกจากหนังญี่ปุ่นย้อนยุค เดินเข้าไปก็เจอหมดอ่ะครับ
ที่นี่ก็จะออกแนวนิ่งๆ ขรึมๆ ไฟสลัวๆ แต่ถ่ายภาพได้ตามอัธยาศัย ยกเว้นในบางจุด
แต่พอมาคุ้ยๆ ดูรูป ผมว่าแทบจะไม่ได้ถ่ายมาเลย เพราะ แค่เดินๆๆ อ่านๆๆ ข้อมูลที่เอามาจัดแสดงก็ปาไปสองสามชั่วโมงแล้ว
เพราะมันใหญ่จริงๆ ครับ (และตึกนี้คือตึกใหญ่สุด ถ้าจำไม่ผิดมันมีอีกตึกที่แสดงนิทรรศการหมุนเวียนอีก)

แอร์เย็นๆ ไฟสลัวๆ ใครจะอดใจไหว

แอร์เย็นๆ ไฟสลัวๆ ใครจะอดใจไหว

ที่นี่คนที่มาชมก็ปนๆ ทั้งนักท่องเที่ยว และ ชาวญี่ปุ่นเอง
ยิ่งเดินก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของความเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ที่ลอยอบอวลอยู่ทุกอนู
ทั้งการ display ที่น้อยๆ ไม่ต้องเยอะ การแบ่งห้อง การเล่าเรื่องราว
อธิบายไม่ถูก ต้องลองไปเดินดูเองแล้วจะเข้าใจเลย

ใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวๆ เรียนรู้รากเหง้าประวัติศาสตร์อะไรทำนองนี้ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

สิ่งที่เสียดายที่สุดเกี่ยวกับที่นี่คือ พลาดนิทรรศการหมุนเวียนว่าด้วย “การละเล่นหรือเกม” ของญี่ปุ่นครับ ;____;
ไปช้านิดเดียว โดนหมุนไปแสดงที่เกียวโตแล้ว ตอนไปเกียวโตก็ไม่ว่างไปดูเรียกได้ว่า #แกร๊ง ครับ

Tokyo Metropolitan Museum of Photography 

อันนี้ตอนแรกหมายมั่นปั้นมือว่าจะไป แต่พอไปถึงที่นู่น คิดไปคิดมา ไม่ไปละกัน
แต่สวรรค์นำพา หลังจากที่ผมได้ไปทำกิจกรรมอย่างหนึ่งมา (ซึ่งเป็นอันดับ 1 ที่สุดแห่งการไปญี่ปุ่นครั้งนี้ ขออุบไว้ก่อน) แล้วกลับมาพักฟื้นที่โตเกียว ก็ดันไม่รู้จะไปทำอะไรดี เพื่อนเลยแนะนำว่าให้ไปเดินเล่นแถวๆ สถานี Ebisu เพราะมีแหล่งขายของชิคๆ คูลๆ เหมาะกับคนแนวๆ อย่างผม (หรอออออออ) และพอไปถึงปุ๊บ ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน ก็เจอป้ายมิวเซียมพอดี ไหนๆ ก็ไหนๆ ก็แวะมาดูเลยละกัน!

ด้านนอกมีภาพถ่ายคนดังใหญ่เท่าฝาบ้านแปะอยู่ เห็นแล้วกรี๊ดแตก

ที่นี่จะมีนิทรรศการหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ ครับ คิดสภาพเหมือน BACC ของบ้านเรา เพียงแต่มีเฉพาะภาพถ่าย
แน่นอนว่า ห้ามถ่ายภาพในนั้นครับ….
แต่อีกหนึ่งข้อห้ามที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอมาก่อนแต่ได้เจอที่นี่ครั้งแรกคือ …

“ห้ามใช้ปากกาในพื้นที่แสดงงาน”

ใช่ครับ อ่านไม่ผิด เพราะเขาให้เหตุผลว่า สารระเหยจากหมึกของปากกาอาจจะทำให้ภาพถ่ายเสียหายได้
ดังนั้น ก่อนเข้าไปชม จะเจอกระบะดินสอให้หยิบยืมไปใช้ขีดเขียนได้
โคตรจะญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นมากๆ แสดงถึงการใส่ใจดีเทลทุกกระเบียดนิ้ว

นิทรรศการที่ได้ไปชมมี 2 งานครับ แต่ละงานก็คิดค่าตั๋วแยกกัน ถ้าดูทั้งคู่ก็ได้ส่วนลดนิดนึง

งานแรก: The Aesthetics of Photography – The Making of Photographic works
เป็นการผลงานภาพถ่ายที่อยู่ในการครอบครองของมิวเซียมนี้มาจัดแสดงภายใต้หัวข้อ “อะไรที่ทำให้เราตัดสินว่าเป็นภาพถ่ายที่ดี”
โดยเอางานมาจัดเป็น 4 หมวดหมู่คือ มุมมอง / โฟกัส / แสง / เทคนิคห้องมืด

แน่นอนว่าคนที่รักในการถ่ายภาพ เมื่อได้เห็นผลงานของศิลปินของจริง ปรินท์จริงๆ ไม่ใช่ในหน้าจอคอม
ไม่ว่าใครก็ต้องมีกรี๊ดแตก เป็นเรื่องธรรมดา…
ดังนั้น เมื่อผมได้ดูภาพของไอดอลตลอดกาล ลุง Daido Moriyama หรือ ภาพขาวดำของลุง Ansel Adam
ถ้ามีเครื่องวัดเสียงในใจ มันน่าจะดังทะลุหลายร้อยเดซิเบลเป็นแน่แท้
โดยเฉพาะตอนดูภาพขาวดำของลุงแอนเซล เข้าใจเลยว่าระบบ Zone Syetem ที่เก็บขาวดำมาครบทุกโทน ภาพของจริงมันสุดขนาดไหน
ราวกับดูภาพสามมิติที่ลึกเข้าไป ยังไงอย่างงั้น

ส่วนอีกงานคือ: Yoneda Tomoko – we shall meet in the place where there is no darkness
คนนี้ไม่รู้จักมาก่อนเลย แต่แค่ดูกรี๊ดแตกในการนำเสนอของเขา (กรี๊ดขนาดนี้ แต่เป็นชายแท้นะครับ)
เพราะเป็นการผสานเอาภาพถ่ายแบบ conceptual มาผสมกับงานสารคดีได้อย่างลงตัวมาก
เช่น เขาตามไปถ่ายสถานที่พบปะกันของสายลับสมัยสงครามในญี่ปุ่น โดยใช้ฟิลม์ไมโคร (ไอ้ฟิลม์เล็กๆ ที่เห็นในหนังสายลับ)
พร้อมเล่าว่า ที่นี่ ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
ชอบมากครับ ฮือ ;___;

จริงๆ มีอีกงานแต่ไม่ได้เสียตังเข้าไปดูคือ ภาพถ่ายแมว-สิงโตในอิริยาบทเดียวกัน น่ารักมุ้งมิ้ง
ผมไม่ได้เป็น #ทาสแมว อะไรขนาดนั้น เลยขอบายไปตามระเบียบ

ความดีงามอีกอย่างของที่นี่คือร้านขายของที่ระลึกครับ
เพราะมีหนังสือภาพของญี่ปุ่นขายเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ คนดังๆ อย่างลุง Daido นี่หนังสือปาไปทั้งชั้นเลย
เรียกได้ว่าพอเดินชมเสร็จ ก็เดินช็อปต่อได้เลย

ในใจลึกๆ อยากเห็นที่แบบนี้ในเมืองไทยมากๆ ;____;

 

 

สุดท้ายนี้ ส่วนตัว ผมคิดว่า พิพิธภัณฑ์ หรือ วิธีการเก็บรักษาสิ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของแต่ละชาติ เป็นตัวสะท้อนถึงการให้ความสำคัญและคุณลักษณะอะไรบางอย่างของชาตินั้นๆ ได้

เมื่อลองเทียบของไทยกับญี่ปุ่นแล้ว ลึกๆ คิดว่าเราสามารถทำแบบเขาได้นะ
ผมยังเชื่อว่า ถ้าเราจัดแสดงงานดีๆ หาคนที่มีความรู้ลึก รู้จริง และทันต่อเทรนด์บ้านเมืองเข้ามาร่วมจัดการ ต่อให้เสียตังยังไง คนก็เข้าไปดู
ใช่อยู่ ที่เรามีมิวเซียมสยาม หรือ นิทรรศรัตนโกสินทร์ มิวเซียมเคลือบขนมหวานกินง่าย อร่อยได้ทุกคน
แต่ขนมหวานก็คือขนมหวาน แล้วเมนคอร์สอย่าง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ล่ะ
ผมเองก็ไม่ได้ไปมานานมากๆๆๆ แล้ว ตอนนั้นไปเพราะต้องไปทำรายงาน (ตามสูตร) น่าจะเป็นช่วง ม.ต้น มั้ง
และเมื่อผมได้อ่าน ข่าวนี้ ก็พบว่า สภาพของตอนนั้นกับตอนนี้ก็เหมือนเดิมเป๊ะ!

หวังลึกๆ ว่า ฝันของผมที่จะได้เดินในมิวเซียมของประเทศไทย ที่น่าเดินแบบที่ญี่ปุ่นนี้ จะเป็นจริงได้ในชาตินี้
หวังจริงๆ นะ

 

โอเค บอกลาโหมดจริงจัง

จริงๆ แล้ว มีอีกมิวเซียมนึงที่ผมไปมาและแทบน้ำตาจะไหลกับที่นั่น แต่ไม่ได้เขียนลงในนี้ เพราะมันคือ อันดับ 2 ของทริป!
จะเป็นที่ไหนนั้น รอติดตามอ่านได้ในตอนต่อไปแจร้

Leave a comment